Friday, December 24, 2010

ให้เด็กกินข้าวเอง

บางครั้งถ้าเด็กๆ งอแงไม่ยอมกินข้าว อาจเกิดความเลอะเทอะ ที่เกิดจากการก่อกวนของเด็กๆ ได้ค่ะ เพราะเด็กมักจะเบือนหน้าหนี เวลาถูกป้อนอาหารไงคะ ทีนี้คนเป็นพ่อเป็นแม่ ก็กลุ้มใจอีก ว่าจะทำยังไงดีนะ ที่จะให้ลูกกินข้าว...

เรามีวิธีแก้ไขค่ะ คือ ปล่อยให้แกกำช้อนเอง ตักข้าวใส่ปากด้วยตัวเอง แน่นอนว่ามันจะต้องเลอะเทอะมากแน่ๆ แต่ก็ได้ผลนะคะ เพราะเด็กจะกินข้าวได้เยอะเป็นพิเศษในมื้อที่แสนสนุกสนานนั้น (แต่เหนื่อยคนเก็บกวด อิอิ)

Thursday, December 23, 2010

เพลงสอนเด็ก

ทราบมั้ยคะว่า เราสามารถใช้บทเพลงสอนเด็กให้เรียนรู้ได้ ตั้งแต่ยังเป็นเจ้าตัวน้อยๆ อยู่เลย เช่น ร้องเพลง กขค ABC ให้ฟังครั้งแล้วครั้งเล่าค่ะ

หรือแม้แต่การนับเลข 1 - 10 ก็สามารถแต่งเป็นทำนองเพลงได้ตามใจชอบค่ะ โดยจะต้องหมั่นร้องอย่างสม่ำเสมอนะคะ เพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นเคย และยังเป็นการเสริมสร้างพัฒนาการแก่ระบบสมองของเด็กด้วย แม้ว่าเด็กจะยังไม่สามารถท่องจำได้สักนิดก็ตามค่ะ 

Tuesday, December 21, 2010

ไม่มีเวลาเที่ยว

ในช่วงที่พ่อแม่ไม่มีเวลาพาเด็กไปเที่ยวนอกบ้าน อาจจะด้วยเวลาไม่มี หรือปัญหาการเงินก็ตาม แต่เราสามารถอยู่กับบ้าน โดยสอนให้ลูกได้เรียนรู้จักสรรพสิ่งต่างๆ รอบกาย ที่ควรรู้จักได้ อีกทั้งยังเป็นเหมือนการพาลูกท่องเที่ยวไปอย่างเพลิดเพลินได้ด้วย

โดยการหาสมุดภาพ สิ่งของ และสถานที่ต่างๆ มาชี้ให้ลูกดูและสอนลูก เช่น นี่คือเสือ เสือร้องคว่าๆ นี่คือบ้าน นี่คือลูกโป่ง ทะเล ภูเขา เป็นต้น จะทำให้เด็กได้รับความเพลิดเพลิน ได้รู้จักสิ่งต่างๆ และเมื่อเจอของจริง เด็กก็จะจำได้ แต่ว่าต้องสอนกันซ้ำๆ บ่อยๆ ด้วยนะคะ

Wednesday, December 15, 2010

เมื่อเด็กฉี่รดที่นอน

เด็กที่ยังอายุไม่ถึงขวบปี ย่อมมีอาการฉี่รดที่นอนอยู่เป็นประจำค่ะ แต่แม้ว่าจะเป็นธรรมชาติของเด็กเล็ก แต่เราสามารถฝึกให้เด็กเลิกฉี่รดที่นอนได้ตั้งแต่อายุเพิ่งได้ 7 เดือนเท่านั้นค่ะ

โดยเมื่อเวลาที่เด็กนอนหลับไปได้สัก 2 - 3 ชั่วโมง ให้อุ้มแกไปฉี่แล้วอุ้มไปนอนต่อ อีก 2 ชั่วโมงต่อมา ก็อุ้มไปฉี่อีก ทำอย่างนี้บ่อยๆ และอย่าเห็นเป็นเรื่องเหนื่อยนะคะ เพราะมันได้ผลดีมาก เมื่อเด็กค่อยๆ โตขึ้น ก็จะส่งสัญญาณ หรือขอให้เราพาไปฉี่ทันทีที่แกรู้สึกตัวตื่นขึ้น และมีอาการปวดฉี่

Tuesday, December 14, 2010

เมื่อเด็กตื่นมาแล้วโยเย

รู้มั้ยคะว่า เราสามารถฝึกให้ลูกเป็นเด็กที่ตื่นมาพร้อมกับอารมณ์ที่สดใส ไม่โยเยได้ด้วยการใช้เวลาช่วงแรกๆ กับการมานั่งรอลูกตื่น

เมื่อเด็กตื่นแล้วก็คอยยิ้มแย้มและพูดคุยต้อนรับ สัมผัสลูก หอมลูก ให้มีตุ๊กตาตัวโปรดอยู่ใกล้ๆ กับแกด้วยนะคะ แล้วพอแกตื่น พ่อหรือแม่ก็ต้องทักตุ๊กตาของแกด้วย

หลังจากทำเช่นนี้เป็นประจำ เมื่อเด็กตื่นมาไม่เจอพ่อแม่ เด็กก็จะมีอารมณ์ดีได้เอง โดยไม่รองโยเยกวนใจคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

Monday, December 13, 2010

ให้เด็กเต้นระบำคนป่า

เมื่อลูกมีอายุครบ 1 ขวบ พ่อแม่อาจจะสอนให้ลูกเต้นระบำคนป่าในงานวันเกิดของแกเองและเต้นอีกในวันต่อๆ ไปค่ะ เพราะเด็กวัย 1 ขวบ ชอบที่จะลุกยืนด้วยตัวเอง และชอบการเลียนแบบที่สุด

พ่อแม่อาจทำท่าเต้นระบำคนป่า โดยอาจจะยืนกางขา ทำท่าย่อขาลงเป็นจังหวะ กางมือชูขึ้นโบกไปมาบ้าง กางออกไปข้างๆ บ้าง แล้วแต่จะสรรค์สร้างได้ตามใจคุณเลยค่ะ

เด็กจะเต้นตามอย่างเมามัน แถมยังส่งเสียงหัวเราะสลับกับเสียงพูดคุยเป็นตุเป็นตะอย่างชอบอกชอบใจค่ะ

Saturday, December 11, 2010

จับเด็กมาเต้นระบำกันเถอะ

เราสามารถจับลูกวัย 6 - 7 เดือน มาเต้นระบำได้ค่ะ โดยเปิดเพลงสนุกๆ หรือคุณพ่อคุณแม่จะร้องเพลงเองก็ได้ค่ะ ไม่ว่ากัน

ใช้มือทั้งสองจับเอวลูกให้มั่นคง โดยจับลูกให้อยู่ในท่ายืน แล้วโยกตัวไปทางซ้าย - ขวา จับแขนซ้ายชูขึ้น โบกมือไปมา และสลับกันกับแขนขวาบ้าง

ทีนี้ก็ยกขาน้อยๆ ของลูกส่ายไปมาทีละข้าง เมื่อลูกเต้นระบำจนจบเพลงจึงค่อยให้นอน พ่อแม่ควรเล่นแบบนี้กับลูกบ่อยๆ นะคะ เพราะเป็นทั้งการออกกำลังกายให้เด็ก และการเล่นที่สนุกสนานอีกด้วยค่ะ

Friday, December 10, 2010

หัดให้เด็กแปรงฟัน

ถ้าอยากให้เด็กๆ คุ้นเคยกับการแปรงฟัน ก็ลองซื้อแปรงสีฟันเล็กๆ มาให้ลูกเล่นดูนะคะ จะให้เล่นตั้งแต่ลูกอายุแค่ 6 - 7 เดือนก็ได้ค่ะ ส่วนเวลาอาบน้ำให้ลูก พ่อแม่ก็ต้องแปรงฟันให้ลูกเห็นด้วยนะคะ เพื่อสร้างความคุ้นเคยค่ะ เมื่อเด็กโตเกิน 1 ขวบ ได้สัก 4 - 5 เดือน เด็กจะแปรงฟันเองได้ และไม่เกิดความกลัวในการแปรงฟันค่ะ

วิธีการฝึก จะต้องฝึกก่อนวัยแปรงฟันนะคะ ให้แกได้ลองแปรงแบบแห้งๆ ดูก่อน พร้อมกับร้องเพลงแปรงฟันให้แกได้สนุก ให้คุณพ่อหรือคุณแม่เป็นคนคอยตรวจยิ้ม ว่าฟันสะอาดมั้ย จะทำให้เด็กอยากแปรงฟันค่ะ แล้วอย่าลืมหายาสีฟันรสผลไม้ให้เด็กๆ ด้วยนะคะ

Thursday, December 9, 2010

เด็กชอบดูดนิ้วมือ

ถ้าเด็กๆ ที่บ้านติดนิสัยชอบดูดนิ้วแล้วล่ะก็ พ่อแม่ควรรีบจัดการหาทางให้ลูกเลิกดูดนิ้ว หรืออมนิ้วก่อนถึง 1 ขวบนะคะ หลายคนอ่านแล้วเครียดเลย เพราะไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน แบบว่าหาวิธีมานานแล้ว แต่ไม่ได้ผลซะที...

ไม่ต้องกลัวค่ะ วันนี้เรามีวิธีทำให้เด็กเลิกดูดนิ้วมาฝากค่ะ โดยการหาผลมะแว้งมาโขลกให้แหลก เอาน้ำจากผลมะแว้งมาทานิ้วมือของเด็กนะคะ เมื่อเด็กเผลอดูดนิ้ว ก็จะมีรสขมๆ และพอทำหลายๆ ครั้ง เด็กก็จะเลิกดูดไปเองค่ะ ลองเอาไปใช้ดูนะคะ

Wednesday, December 8, 2010

สอนเด็กจากเรื่องใกล้ตัว

พ่อแม่รู้มั้ยคะว่า เราสามารถสอนเด็กๆ ให้เรียนรู้ได้ แม้ว่าเด็กจะอายุอยู่ในปีแรก ซึ่งเราจะสอนจากสิ่งใกล้ตัวเด็กก่อน และสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเด็กที่สุด ก็คือตัวของเด็กนั่นเองค่ะ

เวลาอาบน้ำ ทาแป้ง หรือแต่งตัวให้ลูก พ่อแม่ควรพูดคุยและสอนไปด้วยว่า นี่มือ นี่เท้า นี่จมูก นี่ผม เป็นต้น แล้วอย่าเบื่อที่จะต้องพูดซ้ำๆ เหมือนเดิมทุกวันนะคะ เพราะว่า คุณจะแปลกใจว่าทำไมลูกยังไม่ถึงขวบเลย ก็สามารถชี้ได้ถูกต้องทั้งหมด เมื่อเวลามีคนถามว่า มืออยู่ไหน เท้าอยู่ไหน จมูกอยู่ไหนค่ะ

Tuesday, December 7, 2010

ให้เด็กหัดใช้ช้อน

พ่อแม่บางคนอาจคิดว่า การให้ลูกหัดใช้ช้อนตักข้าวหรือน้ำซุปเองนั้น เป็นการสร้างความพยายามให้แก่เด็ก แต่จริงๆ แล้วควรหัดให้ลูกใช้ช้อนตักอาหารที่ตักง่ายๆ ก่อน เช่น กล้วยบด ขนมเค้กชิ้นเล็กๆ ซึ่งเด็กจะใช้ช้อนตักใส่ปากได้อย่างง่ายดาย เพราะกล้วยบดและขนมเค้กจะติดที่ช้อนได้ดี แม้ว่าเด็กจะทำหกเลอะเทอะบ้างก็ตาม แต่ก็ไม่มากเท่าการตักข้าว ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เด็กมีกำลังใจ และไม่ท้อต่อการฝึกหัดใช้ช้อนค่ะ ทั้งนี้ เด็กบางคนนอกจากจะย่อท้อแล้ว อาจทำให้เด็กไม่อยากกินข้าวไปเลยก็ได้นะคะ

Monday, December 6, 2010

เมื่อเด็กอมข้าว

พ่อแม่ควรให้การกินของลูกเป็นเหมือนการเล่นเกมนะคะ เพื่อที่เราจะได้แก้ปัญหาเรื่องการกินที่แสนจะยากของเด็กๆ ค่ะ โดยอาจจะเล่นเกมตักข้าวใส่ช้อนวางไว้ แล้วก็ปิดตา นับ 1 – 20 โดยต้องนัดแนะกับเด็กก่อนนะคะว่า ถ้าลูกมากินข้าวภายในการนับ 1 – 20 ของแม่หรือพ่อแล้ว ลูกจะได้ 1 คะแนน ซึ่งถ้าแม่หรือพ่อนับถึง 20 แล้วลืมตาดู ยังเห็นข้าวเต็มช้อนอยู่ แสดงว่าลูกแพ้ แล้วแม่หรือพ่อจะได้ 1 คะแนนค่ะ

โดยแต่ละวัน ก็ทำบัตรสะสมแต้มไว้ด้วย และมีเงื่อนไขว่า ถ้าลูกทำแต้มได้ 50 หรือ 100 คะแนน ก็ให้นำบัตรสะสมไปแลกของขวัญได้ตามใจชอบ

Sunday, December 5, 2010

เด็กกับปลา

คุณพ่อคุณแม่รู้มั้ยคะว่า มีอาหารหลายอย่างที่เราสามารถฝึกให้ลูกกินได้ ตั้งแต่ช่วงที่แกยังเป็นเด็กทารกค่ะ เพราะความรู้สึกต่อต้านจะมีไม่มากเหมือนตอนโตเกิน 1 ขวบแล้ว

โดยเฉพาะปลา เพราะเป็นอาหารสุขภาพที่มีประโยชน์ต่อสมองของเด็กๆ และเด็กมักจะไม่ชอบกินนัก หากว่าแกเริ่มต้นชิมปลาครั้งแรกแล้วบังเอิญเจอรสคาวของการปรุงบางวิธี

ซึ่งพ่อแม่อาจจะบดเนื้อปลาให้ละเอียด โดยเอาก้างออกให้มากที่สุด แล้วปั้นเป็นก้อนกลมๆ เล็กๆ นำไปตุ๋นกับข้าว เหยาะซอสเล็กน้อย (พูดแล้วอยากกินปลาเผาเกลือ) เด็กก็จะคุ้นเคยกับรสชาติของปลา และพอโตขึ้นอีกนิด เด็กก็จะชอบกินปลาในที่สุดค่า

เมื่อเด็กลงน้ำครั้งแรก

สวัสดีค่ะ....ไม่ได้เจอกันหลายวันเลยนะคะ พอดีช่วงนี้ไม่ค่อยสบายเลยค่ะ อากาศก็เริ่มหนาวแล้วด้วย เลยมีคนป่วยกันอยู่บ่อยๆ รวมทั้งคนเขียนด้วย อิอิ

แต่วันนี้อาการดีขึ้นแล้วค่ะ เลยมีเรื่องการอาบน้ำเด็กมาฝากค่ะ ซึ่งมีความสำคัญอยู่ไม่น้อยเลยค่ะ และเป็นเรื่องที่ต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษด้วยค่ะ เพราะเด็กที่เล็กมากๆ มักจะกลัวน้ำ ดังนั้นเมื่อจะนำเด็กอาบน้ำ จึงต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ คุณพ่อและคุณแม่ต้องดูแลให้รอบคอบ ตั้งแต่อุณหภูมิของน้ำ จะต้องไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป

และเมื่อเวลาหย่อนตัวเด็กลงน้ำแล้วเด็กเกิดร้องไห้ขึ้นมา หรือมีอาการเกร็งขา เกร็งแขนก็ต้องอุ้มขึ้นมาปลอบก่อนนะคะ อย่าฝืนจับลูกอาบน้ำทั้งๆ ที่เค้ายังร้องและต่อต้านอยู่นะคะ

ซึ่งถ้าจะให้เด็กรู้สึกดีขึ้น ก็ให้ใช้วิธีจับนอนบนตัก แล้วลูบไล้ตัวเด็กด้วยฟองน้ำชุบน้ำหมาดๆ ให้ทั่วตัว หรืออาจจะบีบฟองน้ำให้น้ำหยดลงบนตัวเด็กก็ได้ค่ะ จากนั้นก็เริ่มฟอกสบู่ แล้วล้างออกด้วยฟองน้ำชุบน้ำ แล้วจึงค่อยๆ จับตัวลูกหย่อนลงในอ่าง เป็นการล้างน้ำครั้งสุดท้าย และอย่าลืมเล่นกับลูกตลอดเวลา เพื่อเด็กจะได้ไม่มีอาการเกร็งค่ะ

Tuesday, November 30, 2010

เล่นเกมดนตรีกับเด็ก

เด็กๆ ชอบเล่นเกมเป็นนิสัยอยุ่แล้วค่ะ แต่เกมที่จะให้เค้าได้ควบคุมเกมได้เองนั้น อาจมีไม่มาก แต่เกมดนตรีนั้น เด็กๆ สามารถเล่นและควบคุมเสียงเพลงได้ด้วยตนเองค่ะ

โดยอาจจะให้คุณแม่เป็นคนคุมปุ่มวิทยุหรือรีโมตคอนโทรล โดยจับมือของเด็กๆ ไปกดปุ่่มนั้น หรือถ้าลูกโตแล้ว ก็ให้เค้ากดเองค่ะ และจัดให้คุณพ่อและคนอื่นๆ ในบ้าน เช่น ปู่่ ย่า ตา ยาย น้า อา พี่ เต้นตามจังหวะเพลงที่เด็กเปิด พอเพลงหยุด ก็ให้ทุกคนหยุดอยู่ในท่านั้นๆ ค้างไว้ ห้ามกระดุกกระดิก พอเพลงดังขึ้น ก็ให้เต้นต่อไป พอเพลงหยุด ก็ค้างไว้ แบบนี้ไปเรื่อยๆ ค่ะ จะทำให้เด็กๆ รู้สึกสนุกสนานและมีความสุขมาก เพราะเด็กจะรู้สึกว่าเค้าสามารถควบคุมการเปิดปิดเพลงได้เองค่ะ

Monday, November 29, 2010

ร้องเพลงให้เด็กฟัง

วันนี้เรามาร้องเพลงกันค่ะ...อย่าเพิ่งตกใจนะคะ ไม่ได้ชวนไปร้องคาราโอเกะนะคะ อิอิ แต่จะชวนมาร้องเพลงให้เด็กๆ ที่บ้านฟังกันค่ะ

อย่ามัวอายอยู่เลยค่ะ ถึงแม้คุณจะไม่ใช่นักร้อง หรือเสียงไม่ดีเหมือนนักร้องที่คุณชื่นชอบก็เหอะ แต่ว่าการร้องเพลงให้เด็กฟังนั้น เป็นวิธีที่ดีมาก และได้ผลดีที่สุดในการทำให้เด็กพอใจค่ะ

สมองอันน้อยนิดของเด็กๆ จะซึมซับกับเสียงเพลง มีผลต่อการกล่อมเกลาจิตใจให้อ่อนโยนและมีอารมณ์ดีค่ะ

Saturday, November 27, 2010

พยายามพูดคุยกับเด็ก

ทุกคนรู้ใช่มั้ยคะว่า เด็กเล็กๆ ยังฟังอะไรไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่พ่อแม่จะต้องคุยกับลูกอยู่เสมอนะคะ เพื่อที่เด็กจะได้เรียนรู้การได้ยินเสียงพูดคุย และเพื่อที่เด็กจะได้รู้จักที่จะฟังเสียงพูดคุยของคนรอบข้างค่ะ

การพูดคุยกับเด็กนั้น ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องที่เข้าใจยากหรอกนะคะ เช่น ประวัติครอบครัว กลยุทธ์การเล่นหุ้น แต่คุยอะไรก็ได้ค่ะ คุยไปเรื่อยเปื่อยให้เด็กได้ฟังการพูดคุย จะคุยเรื่องฝนตก แดดออก ก็ยังได้

ลองคุยกับลูกน้อยดูนะคะ แล้วคุณจะรู้สึกดีและอมยิ้มเวลาที่เด็กพยายามจะพูดตอบโต้กับคุณค่ะ เด็กจะทำเหมือนบ่นๆ ทำเสียงค่อกๆ แค่กๆ อยู่ในลำคอ น่ารักดีนะคะ

Friday, November 26, 2010

เสียงหัวเราะของเด็ก

ทุกครั้งที่เสียงเล็กๆ ของเด็กๆ หัวเราะอย่างสนุกสนานและมีความสุขนั้น ทำให้หัวใจของคนเป็นพ่อแม่รู้สึกดีใช่มั้ยล่ะคะ และพลอยมีความสุขไปด้วยจนอยากให้เด็กๆ หัวเราะอีกครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อคุณคิดถึงเสียงหัวเราะ คุณต้องคิดถึงความสุข ซึ่งคุณต้องรู้สึกสนุกกับการเล่นกับลูกด้วย เพื่อที่จะได้หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกันค่ะ

การที่เราเล่นกับเด็ก แล้วทำให้เด็กหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขได้นั้น บางทีอาจจะทำให้คุณมีความสุขมากกว่าเด็กอีกนะคะ เพราะคุณเป็นคนทำให้เด็กๆ เหล่านั้นมีเสียงหัวเราะไงคะ

ให้เด็กกล้าที่จะเล่น

เวลาพ่อแม่อยากให้ลูกเล่น ก็มักจะนึกถึงแค่การเล่นของเล่นเป็นส่วนใหญ่ใช่มั้ยล่ะคะ แต่จริงๆ แล้วในช่วงปีแรกของเด็กนั้น พ่อแม่ต้องทำให้ลูกหัวเราะและรู้จักเล่นค่ะ ด้วยวิธีการที่ไม่ต้องใช้ของเล่นค่ะ ฟังดูยากเหมือนกันนะคะ ถ้าจะให้เด็กหัวเราะและเล่น โดยไม่มีของเล่นเนี่ย

พ่อแม่ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพ่อแม่มือใหญ่ อาจจะยังไม่กล้าเล่นอะไรกับลูกที่เป็นเด็กน้อยๆ เพราะกลัวว่าเด็กจะได้รับอันตราย หากเกิดอะไรผิดหลาดขึ้นมาไงล่ะคะ แต่การเล่นกับลูก อาจต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เล็กน้อยค่ะ ดึงความเป็นเด็กจากตัวคุณออกมาให้ได้มากๆ ต้องกล้าที่จะเล่นกับลูกค่ะ เพราะของเล่นที่วิเศษที่สุดของเด็กทารกใน 12 เดือนแรก ก็คือ พ่อกับแม่ไงคะ

Wednesday, November 24, 2010

โอบอุ้มและสัมผัสเด็กบ่อยๆ

สวัสดีค่ะ วันนี้คุณกอดคนที่บ้านหรือยังคะ ถ้ายังแล้วล่ะก็ เย็นกลับไปกอดเค้าด้วยนะคะ โดยเฉพาะเด็กๆ เราต้องกอดเค้าบ่อยๆ และมากๆ นะคะ เค้าจะได้รู้สึกถึงความรักและความอบอุ่นค่ะ และยังช่วยให้ลูกมีความคุ้นเคยกับพ่อแม่ด้วยค่ะ

การอุ้มลูกไว้แนบอกบ่อยๆ และคอยสัมผัสเนื้อตัวของลูกอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นการสร้างความผูกพันทางกายและใจระหว่างครอบครัว เป็นการส่งผ่านความรักทางกายไปสู่จิตใจ เด็กที่มีพ่อแม่โอบกอดและอุ้มด้วยความรักอยู่เสมอๆ จะเป็นเด็กที่รู้สึกอบอุ่นและเป็นสุข ซึ่งต่างจากเด็กที่ไม่ค่อยได้รับการสัมผัสจากพ่อแม่มากนัก ก็จะเป็นเด็กที่ขาดความมั่นใจค่ะ

การอุ้มเด็กอยู่เสมอๆ จะทำให้เด็กคุ้นเคยกับการถูกอุ้ม ไม่ว่าจะในท่วงทาใดก็ตาม จึงเป็นผลพลอยได้ของพ่อแม่ ที่จะเลี้ยงลูกได้ง่ายขึ้น ซึ่งปรโยชน์อีกข้อนึงก็คือ เด็กจะได้มีการเคลื่อนไหวตัวน้อยๆ ในขณะถูกอุ้มเล่น และยังจะหัวเราะอย่างสนุกสนานอีกด้วย เมื่อถูกอุ้มและสัมผัสหยอกเย้าจากพ่อแม่ค่ะ

Tuesday, November 23, 2010

คอยให้เด็กอยู่ใกล้ๆ

พ่อแม่รู้มั้ยคะว่า เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้มากจากการเฝ้าสังเกตสิ่งต่างๆ ที่ดำเนินไปในแต่ละนาที เราจึงจำเป็นต้องให้เด็กๆ มีโอกาสอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่คุณพ่อหรือคุณแม่กำลังทำงานต่างๆ เช่น รีดผ้า เตรียมทำกับข้าว หรือล้างรถค่ะ

เพื่อให้เด็กได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเสมอ อย่าทิ้งเด็กไว้ในเปลตามลำพัง เพียงเพราะคิดว่าตัวเองต้องไปทำงานบ้าน หรือต้องทำธุระอื่นจนไม่มีเวลาดูลูกนะคะ

ดังนั้น ทำธุระไปเถอะค่ะ แต่ให้ลูกอยู่ใกล้ๆ ด้วยแล้วจะเห็นดวงตาน้อยๆ คอยจ้องอยู่ตลอด ไม่ว่าคุณจะทำอะไรค่ะ

Sunday, November 21, 2010

ยากวาดคอและยาทาท้องสำหรับเด็ก

เคยไดยินมาว่า ในสมัยก่อน เวลาเด็กเป็นโรคชัก คนโบราณจะมีวิธีแก้ โดยการกวาดคอ แต่เป็นการกวาดคอแบบโบราณ คือ มีการท่องคาถาไปด้วย แล้วแปลกที่ว่า เด็กก็หายเป็นโรคชักไปเลยค่ะ (แปลกมากกกกก)

แต่เรามาคุยเรื่องยากวาดคอในปัจจุบันกันดีกว่า ก็คือ เวลาจะกวาดคอเด็ก ให้ใช้ที่ปั่นหู หรือไม้พันสำลี เพื่อจุ่มยากวาดคอเด็กให้สะดวกค่ะ ไม่ควรใช้นิ้วมือนะคะ เพราะอาจจะไม่สะอาดพอค่ะ และหากใช้สำลีก็ต้องระวังสำลีหลุดเข้าไปอุดหลอดลมเด็กด้วยนะคะ

ส่วนเรื่องยาทาท้อง จะมียาตำรับโบราณที่สืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้ ก็คือ การใช้ยามหาหิงคุ์ทาบริเวณท้องของเด็ก เวลาเด็กมีอาการปวดท้องค่ะ

แต่แม้จะได้ผลดี และช่วยบรรเทาอาการปวดท้องของเด็กได้ แต่ถ้าทามากไป จะทำให้ผิวหนังของเด็กไหม้เกรียมได้ค่ะ ดังนั้น ถ้าเด็กมีอาการท้องอืดบ่อยๆ ควรจะพาไปหาคุณหมอก่อนดีกว่านะคะ

Saturday, November 20, 2010

เด็กกับลูกเหม็น

ทุกคนรู้จักลูกเหม็น (พ่อกะแม่ไม่เหม็น อิอิ) ใช่มั้ยคะ ซึ่งลูกเหม็นก็คือ สิ่งที่เอาไว้ใช้ไล่แมลงสาบที่บ้านไงค่ะ เป็นสีขาวๆ กลมๆ เหมือนลูกอมค่ะ นั่นล่ะค่ะ ทำให้เด็กชอบหยิบมาใส่ปาก ซึ่งอันตรายมากนะคะ

และถ้าเด็กกลืนกินลูกเหม็นเข้าไป โดยที่ไม่มีใครทันเห็น เด็กจะมีอาการท้องร่วงและปัสสาวะแสบค่ะ และต่อไปก็จะตัวเหลือง และเป็นโรคโลหิตจาง ดังนั้น ต้องรีบพาไปหาคุณหมอ เพื่อล้างท้องและให้เลือดค่ะ

เรื่องเท้าเท้า ของเด็กเด็ก

รู้มั้ยคะว่า การที่ปล่อยให้เด็กเล่นในสนามโดยไม่ใส่รองเท้า เป็นการเพิ่มภูมิต้านทานให้เด็กได้ค่ะ เพราะเท้าของเด็กจะได้สัมผัสกับดิน หญ้า ธรรมชาติ ที่อยู่รอบตัว แต่ก็ต้องระวังเรื่องของแหลมคมบาดเท้าด้วยนะคะ

แต่เด็กที่ชอบวิ่งไปเล่นน้ำลุยน้ำ เวลามีน้ำท่วมนั้น พ่อแม่ต้องดูแลให้เด็กล้างเท้าให้สะอาด หลังย่ำน้ำสกปรกมานะคะ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคน้ำกัดเท้าค่ะ และเช็ดเท้าให้แห้งที่สุด แล้วนำรองเท้าไปผึ่งแดดด้วยค่ะ เพื่อฆ่าเชื้อโรค และถ้าฝนตก ก็ควรให้เด็กใส่รองเท้าที่โปร่งๆ จะได้ไม่อับชื้นค่ะ

และเวลาที่เด็กเล่นสนุกจนเกิดข้อเท้าพลิก เท้าแพลงนั้น ต้องให้เด็กนั่งบนเก้าอี้ ใช้ยาหม่องทาค่อยๆ ถูอย่างเบาๆ ให้ทั่ว หรือใช้ยาแก้ฟกช้ำก็ได้ค่ะ แล้วใช้ผ้ายืดพันบริเวณข้อเท้าไว้ประมาณ 10 วันค่ะ หรือจะใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นจัด ประคบให้ทั่วเท้า ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ เด็กก็จะหายปวดเท้า และเท้าจะหายบวมภายในไม่กี่วันค่ะ

Friday, November 19, 2010

เด็กกับฟลูออไรด์

พอพูดถึงเรื่องฟลูออไรด์ ทุกคนคงนึกถึงยาสีฟันใช่มั้ยคะ...ใช่ค่ะ วันนี้ เราจะมาคุยกันเรื่องยาสีฟัน เอ้ยยยย ไม่ใช่...วันนี้จะมาคุยเรื่องฟลูออไรด์ค่ะ เพราะว่าฟลูออไรด์ไม่ได้มีอยู่แค่ในยาสีฟันเท่านั้นนะคะ แต่มันอยู่ที่ไหนมั่ง มาดูกันดีกว่า

แต่ก่อนพูดเรื่องอื่น ขอพูดเรื่องยาสีฟันก่อนนะคะ...เพื่อให้เด็กๆ รู้สึกสนุกกับการแปรงฟัน ควรให้เด็กแปรงฟันทุกเช้าและก่อนนอน และใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ จะได้ช่วยเคลือบฟันของเด็กๆ ให้แข็งแรง และไม่ผุง่ายด้วยค่า (เหมือนมาโฆณายาสีฟันเลย อิอิ)

เหมือนที่บอกตอนแรกว่า ฟลูออไรด์ไม่ได้มีอยู่แค่ในยาสีฟันบางชนิดเท่านั้น แต่มันยังอยู่ในอาหารด้วยค่ะ เช่น ข้าวเจ้า ข้าวโอ๊ต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ข้าวโพด หัวไช้เท้า แอปเปิ้ล กล้วย องุ่น แครอท ถั่วต่างๆ กระเทียม และผักใบเขียวค่ะ ถ้าเด็กๆ ได้กินอาหารที่มีฟลูออไรด์ ก็จะทำให้มีกระดูกและฟันที่แข็งแรงค่ะ

สบู่กับผิวเด็ก

เวลาเลือกสบู่สำหรับเด็กๆ ควรเลือกชนิดที่ไม่ระคายเคืองกับผิวเด็กนะคะ เพราะอาจทำให้เกิดโรคผิวหนังได้ค่ะ ยิ่งถ้าเด็กเป็นโรคภูมิแพ้ทางผิวหนังด้วยแล้ว ยิ่งให้ระวังเรื่องการใช้สบู่อาบน้ำ เพราะสบู่จะยิ่งทำให้เกิดอาการแพ้ และมีอาการต่างๆ กำเริบได้ ดังนั้นพ่อแม่ควรจะปรึกษาคุณหมอว่าควรใช้สบู่ชนิดใดกับลูกค่ะ

สบู่ประเภทที่มีสารประกอบดีเทอร์เจนต์ แม้จะไม่เป็นอันตรายต่อผิวปกติ เพราะไม่ซึมผ่านเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ได้ แต่ก็อาจเป็นอันตรายต่อผิวที่แพ้ง่ายได้ค่ะ

มีเรื่องเกี่ยวกับสบู่อีกเรื่องนึงมาฝากค่ะ ถ้าเด็กถูกสุนัขกัด ต้องรีบใช้น้ำสบู่ล้างบริเวณปากแผลให้สะอาดที่สุด แต่อย่าถูแรงนักนะคะ เพราะถ้าเกิดแผลช้ำขึ้นมาล่ะก็ เชื้อจะยิ่งเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นค่ะ จากนั้นก็รีบพาเด็กไปหาหมอค่ะ

Thursday, November 18, 2010

เด็กกับแอสไพริน

เรื่องยากับเด็กๆ นี่เป็นเรื่องอันตรายมากนะคะ พ่อแม่อย่าละเลยเป็นอันขาดค่ะ เพราะอันตรายถึงชีวิตเด็กเลยนะคะ....

ถ้าจะให้เด็กกินยาแก้ปวดต่างๆ ควรขอคำแนะนำจากคุณหมอก่อนนะคะ และไม่ควรใช้ยาแอสไพรินกับเด็กอายุต่ำกว่า 7 เดือน เป็นอันขาดค่ะ

ควรให้เด็กกินยาเวลาหลังอาหารไปแล้ว ประมาณ 10 - 15 นาที แล้วให้เด็กดื่มน้ำตามมากๆ ค่ะ อย่าให้เด็กกินยาตอนท้องว่างนะคะ และถ้าเด็กเป็นโรคปวดท้อง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้และกระเพาะอาหาร ก็ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินเพื่อแก้ปวดค่ะ เพราะจะทำให้ระคายเคืองได้ค่ะ

เด็กกับเลือดกำเดา

เวลาเด็กมีเลือดกำเดา พ่อแม่ควรจะสังเกตดูนะคะ ว่าเด็กมีเลือดกำเดาบ่อยแค่ไหน เพราะการที่เด็กมีเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ นั้น อาจเป็นอันตรายได้นะคะ

เด็กที่มักจะมีเลือดกำเดาไหล หรือได้แผลได้เลือดบ่อยๆ ควรให้กินผักใบเขียวเข้มเป็นประจำค่ะ เพราะในผักใบเขียวเข้มนั้น จะอุดมไปด้วยวิตามินเค ที่มีคุณสมบัติในการทำให้เลือดแข็งตัวเร็วค่ะ และยังช่วยควบคุมการเผาผลาญอาหาร และดูแลลำไส้ด้วยค่ะ

เด็กที่ขาดวิตามินเค จะท้องเสียได้ง่าย มักมีเลือดกำเดาไหล อาจเป็นริดสีดวงทวาร และเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ได้ง่าย นอกจากผักใบเขียวเข้มแล้ว วิตามินเคยังมีมากในโยเกิร์ต ไข่ ตับ น้ำมันตับปลา มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำ ผักกระเฉด กระถิน ใบขี้เหล็ก และนมค่ะ

Wednesday, November 17, 2010

เด็กกับความจำดี

พ่อแม่หลายๆ คน คงอยากให้ลูกๆ มีความจำที่ดี และเป็นเด็กที่เรียนเก่ง มีความเฉลียวฉลาด ใช่มั้ยล่ะคะ เรามีวิธีค่ะ...

เพียงแค่ต้องให้เด็กๆ ได้กินอาหารที่มีวิตามินบี 12 ที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาท และการสร้างเม็ดเลือดแดงค่ะ ซึ่งวิตามินบี 12 จะช่วยให้เด็กๆ ไม่อ่อนเพลียง่าย และมีความจำที่ดีค่ะ

เด็กที่ขาดวิตามินบี 12 จะโตช้า มีปัญหาในการพูดจาไม่ชัดเจน สมองไม่ดี เครียดง่าย ก้าวร้าว อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง และอาจจะเป็นโรคโลหิตจางได้ค่ะ พ่อแม่จึงควรให้เด็กได้กินอาหารจำพวก นม เนย ไข่ กะปิ และปลาร้าค่ะ

เด็กกับนม

พูดถึงเรื่องเด็กๆ กับการดื่มนมนี่ เป็นของคู่กันเลยนะคะ เพราะเด็กบางบ้านดื่มนมเยอะมาก จนต้องห้ามหรือเอาไปซ่อนอ่ะค่ะ ส่วนบางบ้านแทบจะไม่ดื่มเลย ทำเอาคนเป็นพ่อเป็นแม่แทบจะลมใส่ เพราะต้องคอยบังคับให้ลูกดื่มนมค่ะ

ซึ่งการที่เด็กได้ดื่มนมน้อยเกินไปนั้น จะทำให้เด็กมีอุจจาระสีเขียวหรือสีเข้ม มีอาการท้องผูก ปัสสาวะน้อยผิดปกติ ไม่ค่อยอยากถ่าย แต่หิวบ่อย มักจะงอแง กระสับกระส่าย และอยู่ไม่นิ่งค่ะ คุณพ่อคุณแม่ควรให้อาหารเสริมแก่เด็ก เช่น น้ำส้มคั้น กล้วยสุก หรือโจ๊กเละๆ ค่ะ

วันนี้ยังมีเรื่องการให้ลูกเลิกดูดขวดนมอีกเรื่องค่ะ คุณพ่อคุณแม่รู้มั้ยคะว่า การให้ลูกเลิกดูดนมจากขวดตั้งแต่ก่อนอายุถึง 1 ขวบ อาจจะทำให้เด็กโยเย และมีสุขภาพไม่ดีได้ค่ะ เพราะเด็กวัย 1 ขวบ ยังมีความอยากดูดนม อยากมีความรู้สึกพึงพอใจกับรสสัมผัสที่ปากอยู่ค่ะ ดังนั้น ควรจะรอให้เด็กมีอายุเกิน 1 ขวบ ไปสักหน่อยค่ะ แล้วค่อยให้เด็กเลิกดูดนมจากขวด น่าจะดีกว่านะคะ

Tuesday, November 16, 2010

อาหารต้องห้ามสำหรับเด็ก

คุณพ่อ คุณแม่รู้มั้ยคะว่า เด็กเล็กต้องการการดูแลสุขภาพเป็นอย่างดีและอย่างจริงจัง เพราะการที่พ่อแม่ปล่อยให้เด็กโตขึ้นเองตามวัยนั้น อาจจะทำให้เด็กโตขึ้นมาพร้อมกับการป่วยง่ายและสุขภาพอ่อนแอค่ะ

ซึ่งเรื่องอาหารนี่สำคัญมากนะคะ เพราะจำเป็นต่อสุขภาพของเด็กๆ แต่ก็มีอาหารหลายประเภทที่ไม่ควรให้เด็กกินค่ะ เพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เช่น ขนมหวาน ทอฟฟี่ ลูกกวาด ชา กาแฟ น้ำอัดลม อาหารหมักดอง อาหารไม่สุก และอาหารรสจัดค่ะ

นอกจากนี้ ยังมีขนมและอาหารบางอย่างที่ผสมสีให้ดูสวยงามน่ากิน ซึ่งมีอันตรายต่อเด็กอย่างมากค่ะ เพราะมีสารเคมีที่จะเข้าไปทำลายอวัยวะ หรือระบบการทำงานภายในร่างกายได้ และถ้าร่างกายเก็บสะสมไว้ในปริมาณมากๆ เด็กก็มีสิทธิ์จะเป็นโรคมะเร็งเมื่อโตขึ้นได้ค่ะ

ภูมิต้านทานโรคของเด็ก

ถ้าไม่อยากให้เด็กเจ็บป่วยง่าย หรือร่างกายไม่แข็งแรง พ่อแม่ต้องให้เด็กๆ มีภูมิต้านทานโรคในร่างกายค่ะ ซึ่งสิ่งที่จะช่วยให้เด็กมีภูมิต้านทานโรคได้นั้น ก็คือ ผักและผลไม้ต่างๆ ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีค่ะ เพราะนอกจากจะเสริมภูมิต้านทานโรคแล้ว ยังช่วยป้องกันมะเร็งด้วยค่ะ

จะเห็นได้ว่าเด็กที่ขาดวิตามินซี จะมีเลือดออกตามไรฟันบ่อยๆ เป็นโรคลักปิดลักเปิด อ่อนเพลียง่าย เหนื่อยง่าย เป็นหวัดบ่อยๆ และฟันผุค่ะ ซึ่งผักและผลไม้ที่มีวิตามินซี ก็คือ มะขามป้อม ฝรั่ง มะละกอ มะปราง ส้ม มะขาม พริกเหลือง ผักกาดเขียว ซึ่งเป็นของหาง่ายตามท้องตลาดค่ะ

Monday, November 15, 2010

เมื่อเด็กอาหารไม่ย่อย

จากบทความที่แล้ว พ่อแม่บางคนอาจจะให้ลูกกินๆๆๆๆ โดยไม่สนใจว่าลูกอิ่มมากๆๆๆๆๆ แล้ว แต่ก็ยังให้กินอยู่นั่นแหล่ะ เหตุผลเพราะกลัวลูกไม่อิ่มหรือขาดสารอาหาร (มั้งคะ) แต่จริงๆ ถ้าเด็กกินมาก ก็ทำให้เด็กปวดท้องได้นะคะ และถ้าเด็กจะมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เพราะอาหารไม่ย่อยบ่อยๆ แล้ว พ่อแม่ควรดูแลให้เด็กได้รับสารคลอไรด์อย่างพอเพียงค่ะ

ซึ่งสารคลอไรด์เป็นเกลือแร่ชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อร่างกายค่ะ จะพบได้ในอาหารบางชนิด เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวเจ้า กะหล่ำปลี แตงกวา หน่อไม้ฝรั่ง สาหร่ายทะเล สับปะรด มะกอก เกลือ เป็นต้น ซึ่งนอกจากคลอไรด์จะดูแลฟันแล้ว ยังช่วยในการย่อยโปรตีนได้ดี ช่วยตับขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยดูดซึมแร่ธาตุในกระเพาะอาหาร  นอกจากคลอไรด์จะทำให้เด็กท้องเฟ้อแล้ว ยังทำให้เส้นผมหลุดร่วงง่ายอีกด้วยค่า

การกินที่พอเพียงของเด็ก

ได้ยินคำว่าพอเพียง ไม่ใช่หมายความว่ากินแบบเด็กสมถะนะคะ... แต่คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่คะว่า เด็กไม่จำเป็นต้องกินอาหารแค่วันละ 3 มื้อเท่านั้น แต่เด็กสามารถกินอะไรต่อมิอะไรได้อีกในระหว่างมื้อค่ะ ก็เพราะว่ากระเพาะอาหารของเด็กยังเล็กอยู่น่ะซิคะ จึงจุอาหารได้น้อยไงคะ

พ่อแม่จึงควรอนุญาติให้เด็กได้กินอาหารว่างระหว่างมื้อได้ด้วยนะคะ แต่ก็ควรเลือกแบบที่มีประโยชน์นะคะ เช่น ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง หรือลูกพรุนค่ะ

Sunday, November 14, 2010

อย่าบังคับเด็กๆ

ทุกคนน่าจะรับรู้ถึงการโดนบังคับนะคะ ไม่ว่าจะตอนเด็กหรือตอนโต ว่ามันไม่สนุกและน่าเบื่อที่สุด เพราะเวลาใครมาบังคับเรา เราก็ไม่อยากทำตามหรอกค่ะ ซึ่งเด็กๆ ก็เหมือนเราแหล่ะค่ะ เด็กๆ ก็ไม่ชอบเหมือนกัน เวลาพ่อแม่หรือครูบังคับ ดังนั้น เราควรจะหาวิธีให้เด็กทำตามโดยที่เด็กก็อยากทำโดยเต็มใจเหมือนกันดีกว่าค่ะ

วัยเด็กนั้นเป็นวัยที่เอาใจยากค่ะ เราจึงไม่ควรไปบังคับ เช่น ให้กินอาหารที่เด็กๆ ไม่ชอบ หรือบังคับให้กินให้หมด พ่อแม่ควรหากลวิธีต่างๆ มาจูงใจแทนค่ะ เช่น เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนภาชนะ หรือสีสันของอาหาร พ่อแม่ควรอยู่พูดคุยเอาใจใส่เด็กระหว่างกินอาหาร สิ่งสุดท้ายนี่สำคัญนะคะ เพราะขนาดเรายังอยากกินข้าวกับแฟน หรือคนอื่นๆ เลย เด็กก็รู้สึกเหมือนกันค่ะ ดังนั้น เวลากินอาหารควรเอาใจใส่เด็กด้วยนะคะ อ่ามัวแต่ดูละครเพลินล่ะ อิอิ

น้ำหนักและส่วนสูงของเด็ก

เด็กๆ บ้านไหนอ้วนหรือผอมเกินไปบ้างคะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ต้องคอยดูแลให้ดีนะคะ เพราะเด็กอาจจะป่วยเป็นโรคได้ค่ะ พ่อแม่บางคน หรือผู้ใหญ่บางคน อาจจะชอบให้ลูกหลานของท่านตัวอ้วน จะได้ดูน่ารักน่าฟัด แต่จริงๆ ถ้าเด็กอ้วนหรือผอมเกินไปนั้น ไม่เป็นผลดีกับเด็กเลยค่ะ

พ่อแม่ควรดูแลเด็กให้มีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม อย่าปล่อยให้อ้วนหรือผอมเกินไป เพราะเด็กที่อ้วนหรือผอมเกินไป จะมีภูมิต้านทานต่ำ เจ็บป่วยง่าย บุคลิกไม่ดี ขาดพละกำลัง

ควรหมั่นชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูงของเด็กทุกเดือน แล้วจดบันทึกไว้ เพื่อจะได้รู้พัฒนาการของเด็กไงคะ และยังเป็นข้อมูลวิเคราะห์สุขภาพเด็กในแต่ละระยะอีกด้วย ส่วนสูงอาจจะวัดทุก 2 - 3 เดือนก็ได้ค่ะ แต่น้ำหนักนั้น สามารถชั่งได้ทุกเดือนค่ะ

Saturday, November 13, 2010

นกกระทา เมนูบำรุงสมองเด็กๆ

สงสัยตอนเด็กๆ เราคงจะกินนกกระทามาก เพราะโตมาแล้วรู้สึกฉลาด (คิดเอง อิอิ) ไม่รู้ว่าเคยได้กินป่าวด้วยซิ...

แต่พ่อแม่ที่อยากให้เด็กๆ ที่บ้านมีสมองดี ก็ลองทำเมนูนกกระทาต้มเป็นน้ำแกงดูซิคะ เพราะจะช่วยบำรุงสมอง ทำให้เด็กแข็งแรง ไม่เป็นหวัดง่าย รักษาอาการไอ บำรุงหัวใจ และบำรุงไตด้วยค่ะ

เด็กควรได้รับแคลเซียม

เพราะอะไรเด็กถึงต้องได้รับแคลเซียมที่เพียงพอต่อวัน เพราะว่า ถ้าเราสังเกตดูว่าทุกวันนี้ เด็กหลายคนมีกระดูกที่ไม่ค่อยแข็งแรง เวลาไปโดนอะไรก็แขน ขาหักง่าย เนื่องจากว่า ไม่ชอบกินอาหารที่มีแคลเซียม อ้อ.....แล้วนอกจากจะกระดูกไม่แข็งแรงแล้ว ฟันก็ไม่สวยและผุง่ายอีกด้วย และที่แย่กว่านั้น เด็กจะไม่สูงและไม่โตค่ะ

ใครอยากให้ลูกๆ ตัวสูงและฟันสวยด้วย ต้องให้ลูกกินพวกปลาเล็กปลาน้อยทอดกรอบ ปลาซาร์ดีน ปลาขาว ปลาลิ้นหมา เพราะปลาเหล่านี้ มีแต่แคลเซียมค่ะ ต้องให้เด็กๆ กินบ่อยๆ นะคะ จะได้แข็งแรง โตเร็ว แล้วยังช่วยบำรุงเลือด บำรุงไต และไม่อ้วนด้วยนะคะ เหตุผลหลังคงเป็นที่สนใจของคุณแม่ หรือผู้หญิงรักหุ่นมากกว่า อิอิ

ถั่วเหลือง ดีต่อเด็กๆ นะจ๊า

วันนี้เราจะมาพูดถึงถั่วเหลืองกันค่ะ จริงๆ พ่อแม่หลายคน คงจะรู้ว่าถั่วเหลืองมีประโยชน์ทั้งต่อเด็กๆ และผู้ใหญ่นะคะ เพราะมีประโยชน์มากมายเลยค่ะ

เพราะว่าถั่วเหลืองเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมายค่ะ ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆ มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง และยังช่วยบำรุงตับ ช่วยให้กระเพาะอาหารทำงานดี สมองก็ดีด้วย แล้วก็ยังช่วยเผาผลาญไขมันและยังมีการเจริญเติบโตที่ดีด้วยนะคะ เพราะว่าถั่วเหลืองนั้นมีโปรตีนสูงยังไงล่ะคะ

Friday, November 12, 2010

สังกะสี ดีต่อเด็กๆ

พ่อแม่ที่เห็นหัวข้อคงตกใจ จะให้ลูกชั้นไปกินสังกะสีเนื่ยนะ No no no....
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดค่ะ สังกะสีที่ว่านี้ คือ แร่ธาตุสังกะสีค่ะ ไม่ใช่สังกะสีไว้มุงหลังคา อิอิ อยากรู้ใช่มั้ยว่า สังกะสี มีอะไรดี ตามมาเลยยยย

อาหารที่แร่ธาตุสังกะสีนั้น มีอยู่มากมายเลยค่ะ เช่น หอยนางรม เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ผักโขม อาหารทะเลต่างๆ ตับสัตว์ ไข่ เห็ด หัวหอมใหญ่ ถั่วต่างๆ ธัญพืชต่างๆ มะเขือเทศ และมันฝรั่ง ค่ะ

ซึ่งคุณสมบัติของสังกะสีจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรค ช่วยในการเจริญเติบโตของระบบประสาท และยังช่วยในการหายใจของเนื้อเยื่อ เด็กที่ขาดสังกะสีจะเป็นเด็กที่โตช้าค่ะ ตัวเตี้ย แคระแกร็น ไม่สดชื่น เซื่องซึม เหนื่อยเพลียง่าย เมื่อเวลาเป็นแผลก็จะหายช้า เบื่ออาหาร และเจ็บป่วยง่าย เพราะว่าภูมิคุ้มกันต่ำนั่นเองค่ะ

อ่านๆ ดูแล้ว การขาดสังกะสีก็มีโทษเยอะเหมือนกันนะคะ เพราะฉะนั้น พ่อแม่ควรให้ลูกๆ ได้กินอาหารที่มีสังกะสีอยู่เป็นประจำนะคะ

Thursday, November 11, 2010

เมื่อเด็กเป็นหวัด

สวัสดีค่ะ...ถ้าพูดถึงเรื่องหวัดนี่ คงไม่มีใครไม่เคยเป็นนะคะ เพราะหวัดเป็นโรคฮิตตั้งแต่เด็กจนแก่เลย อิอิ

แต่ถึงยังไงเด็กก็เป้นหวัดง่ายกว่าผู้ใหญ่อยู่ดี เพราะเด็กมีภูมิต้านทานน้อยกว่าผู้ใหญ่น่ะซิคะ แล้วถ้าเด็กๆ ที่บ้านเป็นหวัดขึ้นมา เราควรจะทำยังไงดีล่ะ เพื่อให้เด็กหายจากหวัดเร็วๆ...เรามาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าจะทำยังไง

เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ มักจะเป็นหวัดบ่อยค่ะ โดยเฉลี่ยจะเป็นปีละ 7 - 8 ครั้งแน่ะ เพราะยังไม่มีภูมิคุ้มกัน (เหมือนที่บอกเมื่อกี้เลย) และเมื่อมีการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจก็จะมีการอักเสบที่เยื่อจมูกได้ค่ะ เด็กที่อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เป็นหวัด มักจะติดหวัดได้ง่าย จึงควรระวัง และดูแลให้ดีนะคะ

และเมื่อเด็กเป็นหวัด ควรจะดูแลรักษาที่บ้าน ถ้าไม่มีไข้ ก็ไม่ต้องไปหาคุณหมอก็ได้ค่ะ เพราะเด็กจะหายเองภายใน 6 - 7 วัน และไม่ควรซื้อยาแก้หวัดมาให้เด็กกินนะคะ

ส่วนอาการเมื่อเด็กเป็นหวัดนั้น ก็จะมีอาการตัวร้อนเล็กน้อย คัดจมูก จาม มีน้ำมูกใสๆ ไอและเจ็บคอใน 2 วันแรก วันต่อมาน้ำมูกก็จะเขียวขึ้น พ่อแม่ควรให้เด็กกินอาหารตามปกตินะคะ เพราะไม่มีอาหารไหนที่ห้ามเด็กกินค่ะ แต่ควรให้อาหารที่มีสารอาหารครบ 5 หมู่ เป็นหลักค่ะ อย่าลืมให้เด็กดื่มนมและน้ำมากๆ ด้วยนะคะ ถ้าไอก็ให้กินยาแก้ไอชนิดน้ำสำหรับเด็ก

เวลานอนก็ต้องห่มผ้าให้ดี ถ้ามีไข้ก็เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นบ่อยๆ แต่ถ้าไข้สูง ก็ค่อยพาไปหาคุณหมอค่ะ แต่ถ้าเด็กมีไข้สูงและมีอาการซึมด้วย ไม่ดื่มนม ไม่ดื่มน้ำ มีไข้นานเกิน 3 วัน และมีความผิดปกติในลักษณะการหายใจ เช่น หายใจเร็วหรือแรง ก็รีบพาไปหาคุณหมอเลยค่ะ เพราะอาจจะมีโรคแทรกซ้อนได้

Wednesday, November 10, 2010

เมื่อเด็กเป็นปอดบวม

วันนี้ตื่นมารู้สึกอากาศเย็นๆ ค่ะ ช่วงนี้ต้องระวังเรื่องสุขภาพให้ดีๆ นะคะ ต้องหมั่นไปออกกำลังกายบ่อยๆ ค่ะ จะได้แข็งแรง ไม่เป็นโรคนู่นโรคนี่ แต่พูดถึงเรื่องอากาศชื้น นึกได้ว่า อากาศชื้นทำให้เป็นโรคปอดบวมได้ด้วย แต่เป็นได้ยังไงต้องมาดูกันค่ะ

เด็กที่กินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ จนร่างกายขาดสารอาหารนั้น จะทำให้ติดเชื้อปอดบวมได้ง่าย และถ้าเป็นปอดบวมแล้วก็จะมีอาการรุนแรงกว่าเด็กที่กินอาหารครบ 5 หมู่ค่ะ เด็กจะเป็นปอดบวมได้ไม่ยากค่ะ เพราะเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่อยู่ปนเปื้อนในเสมหะ ในน้ำมูก และในอากาศที่ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย การไอหรือจามรดกัน การใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคปอดบวมก็ทำให้ติดได้ ไม่ต่างจากหวัดเลยค่ะ

แต่อาการของปอดบวมจะสังเกตได้ว่าจะเป็นหวัดก่อนใน 2 - 3 วันแรก แล้วจึงจะมีไข้สูงตามมาค่ะ อาการไอก็จะไม่ไอแบบธรรมดา แต่จะมีการหอบรวมด้วย เพราะหายใจไมสะดวก ควรสังเกตด้วยว่า เวลาเด็กหายแล้ว เห็นชายโครงบุ๋มลงไปหรือเปล่า เพราะถาเป็ปอดบวมจะเห็นว่าบุ๋มลงไปมาก ควรจพาเด็กไปหาคุณหมอ เพื่อรักษาและแนะนำการดูแลค่ะ

ส่วนการป้องกันไม่ให้เด็กเป็นปอดบวมนั้น คือต้องให้เด็กได้รับสารอาหรครบถ้วน ให้ได้รับวัคซีนตามช่วงอายุที่คุณหมอระบุไว้ อย่าให้เด็กไปเล่นคลุกคลีกับคนที่เป็นหวัดและเป็นปอดบวม ดูแลเด็กให้อยู่นสภาพแวดล้อมที่ดี ห่างไกลจากควันไฟ ควันบุหรี่ ควันรถยนต์ หรือที่ที่อากาศเป็นพิษทั้งหลายค่ะ

Tuesday, November 9, 2010

เมื่อเด็กเป็นโรคหัด

ใครเคยเป็นหัดตอนเด็กๆ คงจะรู้ว่ามันไม่สนุกเอาซะเลย และยังทำให้เราทำอะไรไม่ค่อยได้อีกด้วย บางคนโดนเพื่อนล้ออีกแน่ะ ว่าเป็นตัวประหลาด แต่สำหรับคนที่เป็นคงตลกไม่ออกหรอกค่ะ เพราะโรคหัดมันน่ากลัวกว่าที่คิดนะคะ ยิ่งคนที่เป็นมากๆ แล้วมีโรคอื่นแทรกซ้อนนี่แย่เลย งั้นเรามาดูกันดีกว่า ว่าโรคหัด มันน่ากลัวยังไงบ้าง

เด็กจะสามารถรับเชื้อไวรัสหัดได้ในช่วงอายุ 2 - 6 ขวบ ซึ่งจะติดกันได้ โดยการไอหรือจามรดกันค่ะ เพราะเมื่อเชื้อไวรัสที่กระจายอยู่ในอากาศ เข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว ก็จะทำให้ติดโรคได้โดยไม่ยากเลย โดยเชื้อหัดจะแพร่อยู่ในลำคอก่อนประมาณ 4 - 5 วัน จากนั้นถึงจะมีผื่นขึ้นตามตัวเด็กค่ะ

และเมื่อพบว่าเด็กเป็นหัด ก็ให้พาไปหาคุณหมอนะคะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการรักษาตามอาการ แต่ไม่ควรไปซื้อยามากินเองนะคะ เพราะโรคหัดไม่มียาเฉพาะค่ะ ส่วนเรื่องอาหาร ก็ควรเป็นอาหารอ่อน โดยให้กินบ่อยๆ ได้ และเน้นอาหารที่มีวิตามินเอสูงค่ะ และอย่าให้เด็กอดอาหารเด็ดขาดค่ะ

เด็กที่เป็นหัดจะมีไข้ร่วมด้วย ควรเช็ดตัวบ่อยๆ และแยกให้เด็กนอนคนเดียวประมาณ 5 วัน หลังจากออกหัดหรือเป็นผื่นตามตัวค่ะ

เมื่อเด็กเป็นโรคหัด พ่อแม่ควรดูแลอย่างใกล้ชิดนะคะ เพราะเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาเลยค่ะ เพราะโรคหัดสามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่อันตรายได้หลายโรคเลยค่ะ เช่น โรคปอดอักเสบ สมองอักเสบ ช่องหูอักเสบ และโรคอุจจาระร่วง

ซึ่งในเด็กบางคน เมื่อป่วยเป็นโรคหัดแล้ว อาจจะตาบอดได้ ถ้าร่างกายขาดสารอาหารอยู่แล้ว โดยเฉพาะขาดวิตามินเอค่ะ

ดังนั้น เมื่อเด็กมีอายุประมาณ 9 เดือน ถึง 1 ขวบ ควรจะพาเด็กไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด เพื่อให้มีภูมิต้านทานค่ะ และให้วัคซีนอีกครั้ง ตนอายุ 4 - 6 ขวบค่ะ

Monday, November 8, 2010

เมื่อเด็กมีอาการชัก

สวัสดีค่ะ ช่วงนี้อากาศหนาวแล้วนะคะ ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ เป็นยังไงกันบ้าง ยังไงอย่าลืมดูแลสุขภาพด้วยนะคะ เพราะหน้าหนาวก็มีโรคต่างๆ เกิดขึ้นมากเหมือนกัน อย่าประมาทเชียว ส่วนวันนี้ เราจะมาพูดกันเรื่องอาการชักของเด็กๆ ค่ะ มาดูกันซิคะ ว่าเป็นยังไงบ้าง

อาการชักจะมีการแสดงอาการที่เห็นชัดเจนค่ะ เช่น ถ้าเด็กมีอาการตาค้าง ลำตัว แขน หรือขากระตุก กัดฟันแน่น และมีน้ำลายฟูมปาก นั่นแหล่ะค่ะ แสดงว่าเด็กมีอาการชักแบบไม่รู้สึกตัว และถ้าชักนานๆ ตัวก็จะเขียว แล้วถ้าสมองขาดออกซิเจน ก็จะทำให้เด็กพิการได้เลยนะคะ

และเมื่อพบว่าเด็กมีอาการชัก ก็ต้องจับให้เด็กนอนตะแคงค่ะ โดยให้ศีรษะอยู่ในที่ต่ำกว่าแนวราบนะคะ ให้ควักเศษอาหารและดูดเมหะออกจากปาก ใช้ช้อนสอดเข้าปาก เพื่อกันการกัดลิ้นค่ะ แต่ควรเอาผ้าพันด้ามช้อนก่อนนะคะ เพราะไม่งั้น ช้อนอาจจะบาดปากได้ค่ะ และถ้าเด็กมีไข้ ก็ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัว และควรรีบพาไปหาคุณหมอนะคะ

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เด็กมีอาการชักได้นั้น มีหลายสาเหตุค่ะ เช่น

- เด็กป่วยและมีไข้สูง
- เป็นลมบ้าหมู
- เป็นโรคติดเชื้อที่ระบบสมองและประสาท
- เป็นโรคสมองประเภทต่างๆ

เมื่อเรารู้สาเหตุของอาการแล้ว ก็อย่ามัวนิ่งเฉย เมื่อเด็กๆ มีอาการดังกล่าวนะคะ เป็นห่วงค่ะ อิอิ

Sunday, November 7, 2010

เมื่อเด็กมีอาการไอ

เคยสังเกตมั้ยคะ ว่าทำไมเด็กๆ ที่บ้านถึงมีอาการไออยู่บ่อยๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ป่วยเป็นไข้หวัด หรือโรคประจำตัว วันนี้ เราจะมาหาสาเหตุกันว่า ทำไมเด็กบางคนถึงไอ โดยไม่ทราบสาเหตุ

สิ่งที่กระตุ้นให้เด็กไอ ก็คือ ควันบุหรี่ ควันไฟ จนเกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ แต่ยังมีสาเหตุอื่นอีกนะคะ เช่น โรคภูมิแพ้ หรือเศษอาหารหลุดเข้าไปในทางเดินหายใจ มีก้อนเนื้องอกภายในปอด เกิดการอุดตันของระบบทางเดินหายใจจากต่อมน้ำเหลือง หรือมีการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจตั้งแต่เป็นหวัด หรือจากหลอดลมอักเสบ

แต่ว่าถ้าเด็กไอ เพราะเป็นหวัด ก็ให้หาน้ำอุ่นๆ ให้ดื่มตลอดวัน หรืออาจจะผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่น ให้เด็กดื่มเช้า เย็นก็ดีเหมือนกันค่ะ ส่วนยาแก้ไอสำหรับเด็ก ควรใช้น้อยๆ และถ้าเด็กไอเรื้อรังเกิน 2 - 3 สัปดาห์ ควรจะพาไปหาคุณหมออีกครั้งค่ะ

Saturday, November 6, 2010

เมื่อเด็กอาเจียน

สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาพูดคุยเรื่องการอาเจียนของเด็กกันค่ะ ทำไมน่ะเหรอคะ เพราะว่า การอาเจียนมากๆ และบ่อยๆ จะทำให้เป็นอันตรายต่อเด็กได้ค่ะ ส่วนอาการจะเป็นยังไงบ้างนั้น มาดูกันเลยค่ะ

เมื่อกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารมีการบีบตัวอย่างแรง เด็กก็จะอาเจียนเอาสิ่งแปลกปลอมออกมาค่ะ และเมื่อเด็กอาเจียน ควรให้เด็กนอนหงาย เพื่อป้องกันการสำลัก

ปล่อยให้เด็กหายเอง โดยไม่ต้องกินยาอะไรนะคะ แต่ควรจะให้อาหารอ่อนๆ หลังอาเจียนแล้วค่ะ และถ้าเด็กมีอาการต่อไปนี้ ให้รีบพาไปหาคุณหมอโดยเร็วเลยนะคะ

1. อาเจียนเป็นเลือด
2. อาเจียนแล้วซึม หรือชักในขณะมีไข้ด้วย
3. อาเจียนบ่อยๆ และรุนแรง เพราะไม่ได้ดั่งใจ หรือไม่อยากไปโรงเรียน
4. อาเจียนหลังกินยาบางชนิดเข้าไป
5. อาเจียนรุนแรง โดยมีน้ำดีสีเขียวๆ ออกมาด้วย

หากเด็กมีอาการดังกล่าว รีบพาไปหาคุณหมอโดยด่วนเลยนะคะ เพราะอันตรายมากๆ ค่ะ

Friday, November 5, 2010

อย่าให้เด็กขาดสารอาหาร

หากเด็กๆ ที่บ้านไม่ค่อยชอบกินข้าว พ่อแม่อย่ามัวนิ่งเฉยนะคะ เพราะนั่นอาจจะทำให้เด็กขาดสารอาหารได้ค่ะ

เราไม่ควรปล่อยให้เด็กเบื่ออาหารบ่อยๆ เพราะจะทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้ เนื่องจากการที่เด็กอดอาหารในมื้อนั้นๆ ไม่ใช่ว่าจะไปชดเชยสารอาหารในวันต่อไปได้นะคะ

การที่เด็กกินอาหารได้น้อยลง จะทำให้ป่วยง่าย ขาดพลังงาน และน้ำหนักลด ถ้าเด็กมีการเบื่ออาหาร ควรให้เด็กกินอาหารทะเล นม สาหร่าย และเนื้อวัวให้มากขึ้นค่ะ เพราะอาหารเหล่านี้มีโซเดียมสูง เกลือแร่ตัวนี้จะทำให้เด็กกินอาหารได้มากขึ้น ไม่คลื่นไส้และอาเจียนอีกด้วยค่ะ

Thursday, November 4, 2010

เมื่อเด็กท้องผูก


เด็กๆ บ้านไหนท้องผูกบ้าง ยกมือขึ้น...
ถ้าใครยกมือ คงอายแย่เลย แต่จริงๆ เรื่องท้องผูก ไม่ใช่เรื่องที่ควรเก็บเอาไว้นะคะ เพราะเป็นอันตรายได้นะคะ

เด็กที่ไม่ค่อยดื่มน้ำและไม่ค่อยกินผัก ผลไม้ มักจะมีอาการท้องผูกหรืออุจจาระแข็งเสมอ ซึ่งสาเหตุอื่นๆ ก็มี เช่น การขาดน้ำ ลำไส้ทำงานผิดปกติ เป็นต้น

ส่วนวิธีการดูแลเด็กที่มีอาการท้องผูกบ่อยๆ คือ ให้เด็กดื่มน้ำมากขึ้นอีก 3 - 4 แก้วต่อวัน ฝึกให้เด็กชอบกินผักและผลไม้มากขึ้น และที่สำคัญ ต้องฝึกให้เด็กถ่ายอุจจาระเป็นเวลาในช่วงเช้าและเย็นด้วยค่ะ และไม่ควรใช้ยาถ่ายหรือยาระบายกับเด็กบ่อยๆ นะคะ เพราะเป็นอันตรายถึงชีวิตเลยล่ะค่ะ

Wednesday, November 3, 2010

เมื่อเด็กท้องร่วง

ช่วงหน้าหนาวนี้ ควรระวังเรื่องโรคท้องร่วงมากๆ กันนะคะ เพราะโรคนี้ ทำให้หมดแรง อ่อนเพลีย และเกิดการสูญเสียเกลือแร่ในร่างกายค่ะ

ยิ่งเขตพื้นที่ที่มีน้ำท่วมด้วยแล้ว ยิ่งต้องระวังให้มากๆ ค่ะ เพราะเชื้อโรคจะมากับน้ำสกปรกที่ท่วมตามบ้านเรานั่นเอง ดังนั้น เวลาจะหยิบจับอะไร ก็ต้องล้างมือบ่อยๆ ด้วยนะคะ โดยเฉพาะเด็กๆ นี่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเด็กจะมีความไวมากค่ะ บางทีคนดูแล ก็ดูไม่ทัน หรือไม่ทันระวัง

ส่วนเด็กที่มีอาการท้องร่วง อาจเป็นเพราะกินอาหารเป็นพิษ หรือมีเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสในระบบทางเดินอาหาร

ถ้าหากเป็นโรคภูมิแพ้ หรือลำไส้พิการ หรือกินยาบางอย่างเข้าไป ก็อาจจะทำให้เด็กมีอาการท้องร่วงหรือท้องเดินได้เช่นกัน

และถ้าเด็กถ่ายเหลวเกิน 3 ครั้งในวันนั้น ควรให้เด็กดื่มน้ำข้าวโรยเกลือเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เด็กมีอาการเพลียมาก แต่ถ้าถ่ายเหลว และมีมูกเลือดด้วย ควรพาไปพบแพทย์ทันทีค่ะ